วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

KEEP CALM AND CARRY ON




Keep calm and carry on เป็นสโลแกนที่เห็นพิมพ์บนสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอน ของแต่งบ้าน หรือ แม้แต่ถ้วยกาแฟ แต่เคยสงสัยกันบ้างมั๊ยคะ ว่ามันมีที่มาอย่างไร


 ในช่วงเวลาที่ รัฐบาล สหราชอาณาจักร กำลังเตรียมจะนำประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมของคนในชาติ กระทรวงข้อมูลข่าวสาร( Ministry of information)จึงได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นการเฉพาะ (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ก็มีแต่ได้ยุบไปเมื่อสงครามสิ้นสุดลง) หน้าที่หลักคือ การประชาสัมพันธ์  และการโฆษณาชวนเชื่อ ช่วงระหว่าง 27 มิถุนายนถึง 6 กรกฎาคม 1939 ทางกระทรวงได้สั่งตีพิมพ์ โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ KEEP CALM AND CARRY ON ซึ่งหมายความว่า จงอยู่ในความสงบและดำเนินชีวิตต่อไปตามปรกติ โดยเป็นหนึ่งในชุด ที่ประกอบด้วยโปสเตอร์ 3 แผ่นที่มีรูปลักษณ์แบบเดียวกันคือมีข้อความพิมพ์ตัวอักษรสีขาวอยู่ใต้ตราแผ่นดิน คือ มงกุฏ (Tudor crown) ซึ่งแต่ละแผ่นจะต่างกันที่สีพื้น โปสเตอร์อีกสองแผ่นมีข้อความว่า"Your Courage, Your Cheerfulness, Your Resolution Will Bring Us Victory"( ความกล้าหาญ ความฮึกเหิม และความมุ่งมั่นของท่านจะนำมาซึ่งชัยชนะ)บนพื้นสีน้ำเงิน  และ  "Freedom Is in Peril. Defend It With All Your Might" (เสรีภาพอยู่ในอันตราย จงปกป้องมันจนสุดแรง)บนพื้นสีเขียว โปสเตอร์ชุดนี้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อ การปลุกใจให้ประชาชนมีจิตใจที่ฮึกเหิม และพร้อมจะสนับสนุนรัฐบาลในการก้าวเข้าสู่มหาสงคราม แต่ที่สำคัญคือ การเตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพการถูกกระหน่ำทิ้งระเบิดของนาซี ในเมืองสำคัญต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า


  
มีการบันทึกว่า โปสเตอร์ KEEP CALM AND CARRY ON นี้ได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นถึง 2,500,000 แผ่น แต่กลับแทบจะไม่ได้นำไปปิดที่ใดเลย เนื่องจากมีคำสั่งลงมาให้เก็บไว้ปิดหลังการโดนถล่มทางอากาศครั้งใหญ่ๆ น่าจะเหมาะสมกับเนื้อหามากกว่า และให้ใช้งบประมาณในการพิมพ์อีกสองแผ่นที่เหลือแทน  จนกระทั่งปี1940 โครงการโปสเตอร์ชุดนี้ก็ได้ถูกพับไปหลังจากที่โดนวิภาควิจารณ์อย่างหนักถึงการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า อีกทั้งมีข้อกังขาว่าข้อความเป็นการใช้ภาษาในลักษณะออกคำสั่งโดยเฉพาะ  KEEP CLAM AND CARRY ON แล้ว ยิ่งฟังดูเหมือน พวกผู้ดีในสภากำลังสั่งประชาชนสามัญให้ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ อย่างนายสั่งลูกน้อง

ในปีเดียวกัน ต้นฉบับที่ถูกเก็บไว้ในโกดังทั้งหมดก็ได้ถูกนำไปย่อยเพื่อนำเยื่อกระดาษมาใช้ใหม่ ประชาชนทั่วไปจึงแทบจะไม่มีใครเคยได้เห็นโปสเตอร์แผ่นนี้ แม้ว่าจะมีภาพร้านค้าแห่งหนึ่งใน เมือง ลีดส์ มีโปสเตอร์นี้ติดอยู่ที่หน้าต่าง ออกบนหน้าหนังสือพิมพ์the Yorkshire Post and Leeds Mercury ฉบับเดือน ตุลาคม ปีเดียวกันนั้น แต่ผู้คนที่เคยใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีโปสเตอร์แผ่นนี้


ปี คศ.2000 นาย Stuart Manley  และ นาง Marryภรรยาของเขาเจ้าของร้านหนังสือ Barter Books Ltd ได้ไปพบโปสเตอร์ KEEP CALM AND CARRY ON นี้โดยบังเอิญขณะกำลังตรวจสอบหนังสือเก่าๆที่เขาได้ซื้อมาจากการประมูลของเก่าลังหนึ่ง จึงได้นำมาใส่กรอบแล้วแขวนไว้ที่หลังเคาท์เตอร์เก็บเงิน หลังจากนั้นลูกค้าก็ให้ความสนใจอย่างมากจนเขาได้ตัดสินใจ พิมพ์สำเนาขึ้นเพื่อจำหน่าย ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างสูง เชื่อกันว่า โปสเตอร์ใบนี้จะเป็นเพียงใบเดียวที่รอดพ้นผ่านการเวลามาจนยุคปัจจุบัน จนกระทั่ง ในปี2008 ในรายการ  Antiques roadshow ซึ่งเป็นรายการทีวี ที่ตระเวนถ่ายทำไปทั่วประเทศอังกฤษ และเปิดโอกาสให้แฟนรายการในเมืองนั้นๆนำเอาของเก่าเก็บที่สะสมไว้หรือรับทอดมาให้ผู้เชี่ยวชาญในรายการได้วิเคราะห์อายุ เรื่องราวความเป็นมาต่างๆ รวมถึงการตีราคาค่างวด ด้วยนั้น ได้มีผู้ชมรายหนึ่งนำเอาโปสเตอร์ KEEP CALMรุ่นออริจินัลเข้าไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบถึง 20 แผ่นด้วยกัน ซึ่งได้สร้างความฮือฮา และได้จุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้งว่าจะมี โปสเตอร์แบบนี้หลุดรอดเงื้อมมือของกาลเวลา แอบซุกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งรอคอยการค้นพบของชนรุ่นหลัง


และนั่นก็คือที่มาของโปสเตอร์ สุดเก๋ที่เราเห็นกันทั่วไป ในปัจจุบันที่นำมาใช้ในทางการค้า แต่จุดเริ่มต้นของมันกลับระคนปะปนมากับความกลัว,ความกล้า,ความเป็น,ความตาย,ความอดทน และ ความฮึกเหิมของคนอังกฤษในยุคนั้นค่ะ

ปัจจุบันได้มีการนำเอา รูปแบบไปใช้เพื่อให้เนื้อหาเข้ากับสินค้า หรือ หัวข้อเรื่องต่างๆ หลายอย่าง เช่น KEEP CALM AND EAT CUP CAKES, KEEP CALM AND CONTINUE SHOPPING เป็นต้น





มาลองดูภาพโปสเตอร์อื่นๆ ที่ออกโดย กระทรวงข้อมูลข่าวสาร กันนะคะ


โปสเตอร์ข้างบนนี้เชิญชวนไปเกณฑ์ทหารค่ะ

ส่วนข้างล่าง เป็นการแนะนำการปฏิบัติตนในช่วงสงคราม เช่นการรณรงค์ให้ประหยัด ซ่อมแซมของใช้เอง การเอาเศษอาหารไปเลี้ยงหมู การเสียสละให้คนที่เดินทางไกลกว่าใช้ม้า หรือการขนส่งสรธารณะส่วนภาพที่มุมขวานั้นมาจากคำสั่งรัฐบาลที่ให้ส่งเด็กๆไปอยู่ชนบท เพื่อให้ปลอกภัยจากการโจมตีทางอากาศ ในเมืองสำคัญๆ โดยเฉพาะ กรุงลอนดอน ( ลองนึกถึงฉากต้นๆของเรื่อง Nania The witch and the wardrobe ดูนะคะ)แต่มีแม่ๆบางคนที่มีความคิดจะนำลูกกลับมาอยู่กับตน ภาพนี้ ใช้ฮิตเลอร์ทำหน้าที่เป็นตัว Devil  เป็นพรายกระซิบให้คุณแม่ไขว้เขว ซึ่งแสดงถึงการใช้ถาพสื่อข้อความ และ เพื่อให้เกิดความชิงชังฝ่ายตรงข้ามไปในเวลาเดียวกัน




ปล ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจาก wikipedia และ keepcalmtshirt .com ค่ะ

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

มิชลินสตาร์ มิชลินไกด์ มันอะไรกันหนอ



มิชลินไกด์ หรือ กิ๊ด ค์รูช มิชแลง เป็นหนังสือแนะนำเส้นทาง ตีพิมพ์โดยบริษัท มิชลินที่ขายยางรถยนต์นี่แหละค่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาหารกันนี่
รู้ไว้ใช่ว่า ขอเสนอ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าด้วย ความเป็นมาของ ดาวมิชลินว่าดาวยางรถยนต์เหตุใดมาตกลงที่ร้านอาหารได้

ช่วงระหว่างปี คศ 1936-1939 ทางรัฐบาลฝรั่งเศสได้ออกกฏหมายแรงงานฉบับใหม่ ประกาศให้บริษัทห้างร้านต้องอนุญาติให้ลูกจ้างลาพักร้อนได้โดยได้รับค่าจ้างตามปรกติ ปีละสองสัปดาห์ จากเดิมที่หากจะลาหยุดก็จะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่หยุด การออกกฏหมายฉบับนี้ ได้พลิกโฉมหน้าของการท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส ประจวบเหมาะกับอุตสาหกรรมยานยนตร์ได้พัฒนาถึงจุดที่ทำให้ราคาของรถยนต์ลดลงมาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ ความนิยมการเดินทางโดยรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นยุคทองของหนังสือเล่มเล็กๆที่ออกรายปี เล่มหนึ่ง ซึ่งก็คือ มิชลินไกด์นี่เอง
สองพี่น้องตระกูลมิชลินได้จัดพิมพ์มิชลินไกด์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี คศ.1900  ซึ่งนับเป็นเล่มแรกของยุโรปที่ตีพิมพ์เนื้อหาเน้นไปทางการแนะนำเส้นทาง รวมถึงบอกพิกัดสถานีบริการ เปลี่ยนยางรถ และปั๊มน้ำมัน เนื่องจากในขณะนั้นทั้งประเทศฝรั่งเศสมีรถยนต์อยู่ไม่ถึง 3000 คัน สถานีบริการต่างๆจึงมิได้มีเรียงรายอยู่ตามท้องถนน อย่างในปัจจุบัน  ทั้งนี้จุดประสงค์หลักก็เพื่ออำนวยความสะดวก และ ส่งเสริมการเดินทางโดยรถยนต์ เพราะเมื่อการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น ยอดขายยางรถยนต์ก็ต้องเพิ่มตาม
หนังสือแจกฟรีเล่มเล็กๆเล่มนี้ทำให้การเดินทางของหลายๆคนราบรื่นขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเดินทางไปต่างถิ่นที่ไม่เคยไป เมื่อเห็นว่าประสพความสำเร็จดี จึงได้จัดให้พิมพ์ในประเทศอื่นๆในยุโรปในปีถัดๆไป


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 การตีพิมพ์ต้องหยุดลงเมื่อสงครามหยุดก็พิมพ์ต่อเพื่อแจกจ่ายจนกระทั่งปี 1920 นาย อองเดร มิชลิน ขณะไปเยี่ยมชมตัวแทนจำหน่ายแห่งหนึ่ง เขาได้สังเกตุเห็นว่าหนังสีอที่เขาได้ตั้งใจพิมพ์ออกมานั้นหลายเล่มถูกเอาไปหนุนขาโต็ะเสีย ตามหลักการที่ว่า บุคคลพึงยกย่องเพียงสิ่งที่ตนต้องแลกมาด้วยทรัพย์ ( man only truly respects what he pays for.)   เขาและน้องชายจึงได้ตัดสินใจ ว่าต้องตั้งราคาให้ไกด์บุคของพวกเขา และทำการจำหน่ายแทนการให้เปล่า ในการนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่นการเพิ่มส่วน แนะนำที่พัก โรงแรม และ ร้านอาหาร เมื่อพบว่าส่วนร้านอาหารเป็นที่นิยมอย่างสูง สองพี่น้องได้จ้างทีมผู้ประเมิน ขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้เดินทางไปชิมอาหารตามที่ต่างๆ โดยมิได้เปิดเผยตัวตน
ในปี 1926 ได้เริ่มติดดาวให้ภัตตาคารระดับสูง (fine dinning restaurants หรือ restaurants gastronomiques)โดยมีเพียงดาวเดียว ต่อมาในปี 1931 ได้เริ่มจัดลำดับ หนึ่ง สอง และ สามดวง จนที่สุดปี 1936 จึงได้มีการประกาศ กติกา เงื่อนไข การติดดาวในระดับต่างๆ



ระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 เล่ากันว่า ในปี 1940 กองทัพเยอรมัน ใช้มิชลินไกด์ นำทางเพื่อบุกเมืองต่างๆของฝรั่งเศส เนื่องจาก หนังสือมีข้อมูลด้านแผนที่และพิกัดต่างๆ ที่มีความแม่นยำสูงมาก จนกระทั่งปี 1944 หลังกองทัพสัมพันธมิตร บุก นอร์มังดี ได้มีการตกลงลับเพื่อจัดพิมพ์ ไกด์บุคฉบับปี 1939 เป็นพิเศษขึ้นที่ กรุงวอชิงดัน ดีซี เพื่อใช้ในการสงครามโดยเฉพาะ เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ทางบริษัทก็ได้ดำเนินการจัดพิมพ์อีก ฉบับแรกออกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1945 หลังวันสิ้นสุดสงครามในยุโรป หรือ VE Day เพียงหนึ่งสัปดาห์ สืบเนื่องจากสงคราม และผลกระทบ ทำให้มีการจำกัด การติดดาวอยู่ที่สูงสุด สองดวงอยู่หลายปี

ในปี 1955 ทางไกด์ได้เพิ่ม สัญลักษณ์เข้าไปอีกอย่าง มีชื่อเรียก ว่า บิบ กูค์มอง เพื่อเป็นการแนะนำร้านอาหารรสเลิศแต่ราคาย่อมเยา ทั้งนี้ Bib หรือ Bibendum เป็นชื่อเล่นที่ทางบริษัทใช้เรียก มิชลินแมน ตัวนำโชคที่อยู่คู่กับบริษัทมานับศตวรรษ

ปี 2005 มิชลินไกด์ ฉบับสหรัฐ ได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกโดยเริ่มจาก นิวยอร์คไปก่อน ปี 2007เปิดตัวที่ญี่ปุ่น ปี2008 เป็นปีของฮ่องกง และ มาเก๊า
สำหรับในเมืองไทยเรา ณ เวลานี้ (2015) ทางผู้จัดพิมพ์ยังไม่ได้มีการติดดาวให้ภัตตาคารใดนะคะ แต่มีพ่อครัวที่มีดาวทั้งหลายพากันมาเปิดสาขา บ้างก็เป็น พ่อครัวที่ปรึกษา ในหลายๆแห่ง ซึ่งรสชาติอาหาร และ คุณภาพบริการ ไม่แพ้ ภัตตาคารติดดาวในยุโรปเลยค่ะ เพียงแต่รอเวลาให้ดาวจาก กาแลกซี่ที่ชื่อ มิชเชอลิน ตกลงมาประดับที่ร้านอาหารของตนเท่านั้นค่ะ


ขอบคุณภาพถ่ายจาก
stlmag.com
telegraph.com
wikipedia
restaurantfris.nl


วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเจ้าสาวจึงใส่ชุดขาว





หลายคนเชื่อว่าสีขาวของชุดเจ้าสาวนั้นสื่อถึงความบริสุทธิ์ แต่จริงๆแล้วเดิมที สีที่สือถึงความบริสุทธิ์นั้น คือสีฟ้าต่างหาก  สมัยก่อนเจ้าสาวจะใส่สีอะไรก็ได้ตามชอบแม้แต่สีดำ ซึ่งเป็นสีที่ฮิตมากในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เจ้าสาวในชุดขาวที่ได้มีการบันทึกไว้เป็นรายแรกในยุโรป คือเจ้าหญิง ฟิลิปปา แห่ง อังกฤษ ในปี คศ.1406  ถัดมา ในปี คศ 1559ราชินี แมรี่ แห่ง สก๊อต ก็ทรงฉลองพระองค์สีขาวครั้งที่
อภิเษกสมรสกับ เจ้าชาย ฟรานซิส แห่งฝรั่งเศส เพราะเป็นสีทรงโปรด แม้ว่าสีขาวจะเป็นสีไว้ทุกข์สำหรับราชินีฝรั่งเศสก็ตาม


อย่างไรก็ดีชุดสีขาวนั้นก็ยังไม่เป็นที่นิยมโดดเด่นจากสีอื่นๆจนกระทั่ง ปี คศ1840 พระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ อภิเษก กับเจ้าชายอัลเบิร์ต แห่ง ซัดโคเบิร์ก ขณะนั้นทรงครองราชแล้ว เป็นราชินีผู้ครองบังลังก์ (queen regnant) ชุดแต่งงานของท่านจึงต้องแสดงออกถึง ความรักชาติ หน้าที่และความรับผิดชอบที่ทรงแบกรับ ช่วงเวลานั้นเองการปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทอส่งผลกระทบต่อ การผลิตลูกไม้ที่ถักด้วยมือเพราะลูกไม้ที่ผลิตโดยเครื่องจักรมีราคาถูกกว่ามาก ทำให้ช่างถักลูกไม้ตกงานเป็นจำนวนมากถึงขนาดเป็นวาระแห่งชาติ พระนางเจ้า วิคตอเรียจึงทรงเจาะจงให้ใช้ลูกไม้ทำมือจาก ฮอนิตัน (Honiton)ซึ่งเป็นลูกไม้ที่มีความละเอียด อ่อนช้อย ถือเป็นสุดยอดของลูกไม้ในอังกฤษ เพื่อเป็นการส่งเสริม อุตสาหกรรมทำมือซึ่งแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของอังกฤษ และสีขาวคือสีที่เหมาะสมที่สุดในการขับให้เห็นถึงความงามในศิลปะการถักลูกไม้ ในกรณีนี้สีขาวจึงสื่อถึง ความเหมาะสม และความรักชาติ  มากกว่าจะเป็นความบริสุทธิ์ เพราะเจ้าสาวไม่ใช่แค่ สาวบริสุทธิ์ที่ กำลังก้าวเข้าสู่วิถีชิวิตของการผลิตลูก และ การดูแลบ้าน หากเจ้าสาวคนนี้ เป็น ผู้ปกครองจักรวรรษ อันเกรียงไกร และ กำลังขยายอิทธิพลไปทั่วโลก อีกทั้งในอังกฤษเอง ตั้งแต่รัชกาลก่อน ความนิยมต่อราชวงศ์ถดถอยลง เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชนั้น ทรงเป็นเพียงเจ้าหญิงวัยรุ่น ทรงเป็นความหวังว่าจะเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นที่กังขาว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ ดังนั้นทุกสิ่งที่ทรงทำจึงต้องผ่านการคิดคำนวณแล้ว อย่างดี ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่พระองค์ ฉลองพระองค์ชุดนี้ จึงมิใช่แค่ชุดแต่งงาน แต่เป็นเหมือน คำประกาศ คำเป็นร้อยคำที่ไม่ต้องพูดแม้คำเดียว ภาพถ่ายฉลองพระองค์นี้ได้ถูกตีพิมพ์ออกไปอย่างแพร่หลาย


จากนั้นเจ้าสาวทั้งหลายก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าชุดแต่งงานของพวกเธอต้องเป็น สีขาวและข้อสำคัญลูกไม้ โดยเฉพาะลูกไม้ ฮอนิตันก็เป็นที่ต้องการอย่างสูงเช่นกัน  อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นสียอดปรารถนาของเจ้าสาวทั้งหลาย ชุดขาว ก็ยังจำกัดอยู่ในวงสังคมชั้นสูง และผู้มีอันจะกิน เนื่องจากการฟอกผ้าขาวยังทำได้ยาก และมีราคาแพง จวบจนกระทั่งช่วงรอยต่อศตวรรษที่19 กับ 20 ได้มีการพัฒนาด้านเคมีภัณฑ์ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการฟอกผ้าขาวลดลงมาอยู่ในระดับที่ เหล่าชนชั้นกลาง ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนั้นสามารถเข้าถึงได้ จากนั้นภาพเจ้าสาวในชุดขาวก็กลายเป็นสิ่งที่เห็นกันจนชินตา จนพัฒนาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และได้แพร่ขยายไปภูมิภาคต่างในโลก จนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Afternoon tea

การดื่มน้ำชาตอนบ่าย

ช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่ความนิยมดื่มชาในประเทศอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างมาก และซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่ เล่ากันว่า
แอนนา ดัชเชสคนที่ 7 แห่งเบดฟอร์ดมักจะบ่นว่ารู้สึก หมดแรง อยู่บ่อยๆในช่วงเวลาบ่ายๆโดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ในยุคนั้น อาหารมื้อหลักๆก็จะมีเพียงสองมื้อเท่านั้น คือมื้อเช้า และมื้อเย็น ที่ประมาณ สองทุ่ม ดัชเชสแอนนาจึงแก้ปัญหาโดยการ ดื่มชากับรับประทานขนมขบเคี้ยวเบาๆ เป็นการรองท้องในช่วงเวลาบ่าย ที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัว จากนั้นก็ได้มีการเชิญเพื่อนๆมา ที่ วอเบิร์น แอบบี้ ( Woburn Abbey)ซึ่งเป็นบ้านพักฤดูร้อนที่อยู่ต่างจังหวัด
เมื่อเห็นว่าจิบน้ำชา พร้อมของว่าตอนบ่ายเป็นที่ชื่นชอบของแขกรับเชิญ ดัชเชสแอนนา จึงได้นำกลับมาปฏิบัติอีก เมื่อกลับมาพำนักที่ ลอนดอน จากนั้นกาจจิบน้ำชาก็เป็นที่แพร่หลายไปทั่วในหมู่สังคมชั้นสูง





ปัจจุบัน น้ำชาตอนบ่ายนี้จะประกอบด้วย ชาหนึ่งกา ของว่างนิยมจัดบนจานสามชั้น (tier) เริ่มจากชั้นล่าง แซนด์วิชที่มักจะตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ, ขั้นกลางขนม สโกน เสริฟ พร้อมกับ ครีมเข้มข้น (clotted cream)และ แยมผลไม้ และขนมหวาน ชิ้นเล็กๆอยู่ชั้นบนสุด ในบางกรณีจะมีการเพิ่ม แชมเปญ หรือ สปาคคลิ่ง ไวน์ เช่นการ ฉลองวันเกิด หรือฉลองการตั้งครรภ์ (baby Shower) เป็นต้น