วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

Happy St George's day

วันที่ 23 เมษายนเป็นวันที่คนอังกฤษ ฉลองให้กันักบุญประจำชาติอังกฤษ หรือ saint George (เฉพาะส่วน England เท่านั้น นักบุญของ Scotland คือ saint Andrew นักบุญประจำ Wales คือ saint David และ ที่ดังที่สุดคือนักบุญประจำ Ireland saint Patrick นั่นเอง)

นักบุญ George ผู้นี้เป็นทหารโรมมันที่มีตัวตนอยู่จริง มีชีวิตในช่วงคริสตศักราชที่ 275 และเสียชีวิตวันที่ 23 เมษยน 303 และใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่ถือเป็นจังหวัดของโรมัน ที่ปัจจุบันเป็นบริเวณประเทศ ซีเรีย ลิเบีย และ เลบานอน ตำนานที่ทำให้ นักบุญ George เป็นที่รู้จักคือ ตำนาน saint George and the Dragon เรื่องมีอยู่ว่า ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง (บางตำนานว่าอยู่ใน Beirut บ้างก็ว่าอยู่ใน ลิเบีย บ้างก็ว่าอยู่ เมือง Lydda ในเขตุดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ แผ่นดินที่พระคริสต์เกิดและใช้ชีวิต) ที่ริมแม่น้ำนี้มี มังกรมาสร้างรังอยู่ (อาจจะเป็นจรเข้) ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถสัญจร และไปตักน้ำได้ ด้วยไม่รู้จะทำยังไง จึง เอาแกะไปให้มังกรกิน จะได้ไม่จับชาวบ้านกิน แต่มังกรก็กินเก่งและต้องการอาหารทุกวันจน หาแกะให้ไม่ทัน เมื่อไม่มีแกะ ก็จะส่งหญิงสาวไปให้ โดยการจับฉลาก จนมาถึงวันสุดท้ายปรากฏว่า เลขดันไปออกที่เจ้าหญิง ธิดาผู้ครองนคร ขณะที่กำลังจะเอาเจ้าหญิงไปให้มังกรกิน นักบุญ จอร์จก็ผ่านมาพอดี  จึงเข้าไปต่อสู้และปลิดชีพมังกรที่สร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านมาเป็นเวลานาน และช่วยชีวิดเจ้าหญิงไว้ได้ นักบุญจอร์จผู้นี้มีเครื่องหมายกางเขนติดตัวมาเป็นเครื่องคุ้มกันตน ชาวบ้านจึงละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของตนและเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ตำนานนี้ถูกเล่าขานในอังกฤษโดยอัศวินที่กลับจากการรบในสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือ สงคราม Crusade) สัญลักษณ์ของ นักบุณจอร์จ คือ กากบาทสีแดงบนพื้นขาว และเครื่องหมายนี้ต่อมาได้ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินจากอังกฤษที่เข้ารบในสงครามCrusade โดย Richard the lion heart ในยุคต่อมา (สงคราม Crusade เป็นสงครามแย่งแผ่นดินที่ทั้งชาวคริสต์และชาวมุลลิมก็ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกตน มีด้วยกันทั้งหมด 4 ครั้ง ผลัดกันแพ้ชนะ กินเวลายืดเยื้อ เกือบ200 ปี)
และนับเอานักบุณจอร์จผู้นี้เป็นนักบุญผู้ปกป้องอังกฤษด้วย
(Richard the lion heart ผู้นี้เป็นพี่ชายของ King John พระราชาผู้ชอบขูดรีดภาษี ในเรื่อง Robin hood นั่นเอง)
วันนี่ 23 เมษายน นี้ยังเป็นวันที่มีความสำคัญอีกอย่างคือ เป็นวันเกิด และวันตายของ กวีเอก William Shakespeare อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

Easter ทำไมต้อง ไข่ กับ กระต่าย


เทศการ Easter เป็นเทศการทางศาสนาคริสต์ เพื่อระรึกถึงการฟื้นคืนชีพของพระ เยซูคริสต์ สามวันหลังการถูกตรึงกางเขนจนเสียชีวิต(the Resurrection)  ก่อนจะเสด็จขึ้นสวรรค์ไป ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเทศการคริสต์มาสเลยทีเดียว เมื่อถึงช่วงเทศการ ร้านค้าต่างๆจะนำเอา ช๊อคโกเลตที่ทำเป็นรูปไข่ และ รูปกระต่าย ห่อกระดาษสีสันสดใสมาวางจำหน่าย จริงๆกระต่าย และ ไข่ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์เลย แต่ที่นำมาใช้ในการฉลองนี้มีที่มาตั้งแต่ก่อนศาสนาคริสต์จะเข้ามาถึงดินแดนยุโรปเหนือเสียอีก ขนเผ่า Saxon ที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษเป็นพวกบูชา เทพเจ้าแห่งธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า 'เพเก็น' pagan ชนเผ่านี้มีเทศการฉลองฤดูใบไม้ผลิของตนเองที่เรียกว่า Eastre หรือ Eostre เพื่อบูชา เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ ผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนแผ่นดินโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับทิศตะวันออก (East)  สัญลักษณ์ของเทพีนี้คือกระต่าย เนื่องจากกระต่ายจะตกลูกจำนวนมากในช่วงต้นฤดู
ว่ากันว่า กระต่ายอีสเตอร์จะเอาตะกร้าใส่ไข่สีสันสดใส มาให้เด็กๆในคืนก่อนวันอีสเตอร์ แบบเดียวกันที่ (ซานตาคลอส เอาของขวัญมาส่งก่อนวันคริสต์มาสนั่นเอง) โดยจะเอาไปแอบไว้ในบ้านหรือในสวนหลังบ้านของเด็กๆ เมื่อถึงเวลาเช้าเด็กๆตื่นขึ้นมาก็จะต้องตามหาไข่ให้เจอ จึงเป็นที่มาของกิจกรรม Easter eggs hunt นั่นเอง
เนื่องจากฤดูใบไม้ผลินับเป็นฤดูแห่งชีวิด หลังจากช่วงเวลาแห่งความเหน็บหนาวของฤดูหนาวที่พรากชีวิตชีวาไปจากผืนดิน เมื่อพระอาทิตย์ข้ามผ่านเส้นศูนย์สูตร ทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืน (Equinox) ทำให้ผืนดินมีความอบอุ่นเพียงพอ ดอกไม้จะผลิบาน นับเป็นการเริ่มต้นชีวิตหลังจากความตายของฤดูหนาว นับว่าเข้ากับ คอนเซ็ปท์ของการฟื้นคืนชีพของพระเยซูมากๆ
แม้ทางศาสนจักรจะพยายามให้ศาสนิกชนสนใจเรื่องพระคริสต์มากกว่าการไปสนใจกระต่ายและไข่ที่ทำจากชอกโกเล็ต เนื่องจากเป็นประเพณีของของ pagan ชึ่งถือเป็นพวกนอกรีต แต่กระต่าย และไข่อีสเตอร์ก็ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สัมผัสชีวิตยุค วิคทอเรี่ยน ที่ Black country living museum ,Dudley,UK




          สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ ชอบสัมผัสกับอดีตขอแนะนำค่ะBlack country living museum ตั้งอยู่ในเขตุเมือง Dudley ระยะทางขับรถประมาณ 1ชม.จาก Birmingham ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่อาคารต่างๆนั้นถูกซื้อ มาจากทั่วบริเวณ Black country แล้วรื้อถอนอิฐทีละก้อนอย่างถูกหลักวิชาการเพื่อนำมาสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมทีละหลัง จนสร้างเป็นหมู่บ้าน ในยุคปลายศตวรรษที่ 19  เปิดทุกวัน เว้นวัน จันทร์ และ อังคาร 10.00 น. ถึง 16.00 น. เวลาในการเดินชมแบบไม่รีบร้อน แต่ครบถ้วน ประมาณ 4-5 ชม รวมเวลานั่งพักทานอาหาร และ นั่งเรือชมเหมืองเก่าด้วย

พิพิธภัณฑ์ แห่งนี้ต่างจากที่อื่นๆตรงที่เนื้อหาการจัดแสดง เจาะจงสำหรับพื้นที่Black country และ ช่วงเวลา ของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหลัก   Black country คือพื้นที่ ทางทิศเหนือ และ ตะวันตก ของเบอร์มิงแฮม กินบริเวณส่วนหนึ่งของเขตWest midlands และ Staffordshire ซึ่งเป็นถิ่นที่ มีชื่อเสียงในด้านการทำเหล็กมาตั้งแต่ยุคกลาง แต่ยุคเฟื่องฟูถึงขีดสุดคือยุค วิคทอเรี่ยน 
                               
                          ถนนในหมู่บ้านจำลอง ที่เห็นเป็นบ้านแถวที่ถูกรื้อมาจากที่อื่นเพื่อมาประกอบใหม๋ให้เหมือนเดิม

ในยุคนี้มีการเปลี่ยนจากการใช้ถ่านไม้มาเป็นถ่านหินซึ่งให้ความร้อนสูงขึ้นมาก ปรากฏการณ์นี้เองที่พลิกโฉมหน้า การถลุง และ หล่อเหล็กจากที่ทำได้จำนวนน้อยๆ และนาน มาเป็นทำได้ครั้งละมากๆและประหยัดเวลาลง บริเวณที่เรียกว่าBlack country นี้ถือเป็นถิ่นกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงเวลานั้นอุตสาหกรรมเหล็กของที่นี่เป็นที่หนึ่งในประเทศและของโลก ลองนึกภาพ เรือรบทุกลำของสหราชอาณาจักรที่ลอยลำออกไปล่าอาณานิคมทั่วทุกมุมโลก จะต้องใช้โซ่ และสมอที่ทำจาก Black country รวมถึง โซ่และสมอของเรือ ไททานิค ก็ทำที่นี่ 

โซ่ขนาดใหญ่ สำหรับเรือรบ และเรือสำราญ


โรงงานเหล่านี้ขับเคลื่อนไปโดยคนงานตัวเล็กๆไม่มีความสำคัญ แต่กลับสร้างงานอันยิ่งใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งในหลายๆส่วนที่ผลักดัน ประเทศบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก จนเกิดคำพูดว่า พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินในจักรวรรดิอังกฤษ (The sun never sets in the British empire) เพราะจักรวรรดินี้กินพื้นที่ถึง 70%ของโลกเลยทีเดียว
เนื่องจากการอุตสาหกรรมเหล็กที่รุ่งเรืองนี่เองที่นำมาสู่ความเสื่อมโทรมทางสภาพแวดล้อม ควันดำและเขม่าจากโรงงานที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำทำให้บริเวณนี้กลายเป็นสีดำ ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อ Black country นั่นเอง

เขม่า และ ควันดำจากโรงงานทำให้บริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นสีดำ จนเป็นที่มาของชื่อ Black country


Black country ยังเป็นถิ่นกำเนิดเครื่องจักรพลังไอน้ำ ซึ่งเป็นนวตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบในเวลาต่อมา   พิพิธภัณฑ์นี่ยังได้มีเป็นที่เดียวในโลกที่มี เครื่องจักรพลังไอน้ำ Newcomen จำลอง  ขนาดเท่าจริง และใช้ได้จริง เครื่องจักรชนิดนี้ถูกสร้างครั้งแรกขึ้นในปี1712 ซึ่งเครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรกของโลก ใช้ในการสูบน้ำออกจากเหมืองเป็นหลัก ถูกใช้อย่างแพร่หลายใน สหราชอาณาจักร และในยุโรป จวบจนสิ้นศตวรรษที่ 18 ต่อมา นาย James Watt ได้ออกแบบ โดยปรับปรุงจาก แบบของ Newcomen ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เครื่องจักรของนาย Watt โด่งดังมากกว่า  ในเวลาต่อๆมาแนวความคิดเรื่องการใช้พลังไอน้ำได้นำไปสู่การ ออกแบบ เครื่องจักรอื่นๆ เช่น รถไฟ เรือกลไฟ และการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น


Photo of Newcomen Engine House in Steam
เครื่องจักรไอน้ำ สร้างใหม่ตามแบบของ Newcomen ซึ่งเป็นเครื่งจักรพลังไอน้ำเครื่องแรกของโลก และเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถนำพลังงานไอน้ำมาใช้ประโยชน์ขับเคลื่อนเครื่องจักรได้สำเร็จ

เมื่อมาถึึงพิพิธภัณฑ์ เราจะะพบกับอาคารต้อนรับอยู่ด้านหน้าซึ่งเป็นอาคารสมัยใหม่ มีส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวร ร้านค้าของที่ระรึก ที่มีของดีเด่นประจำท้องถิ่นให้เลือกซื้อตอนขากลับออกมา ให้ซื้อติดมือกลับบ้านกันได้ค่ะ  แต่เมื่อเดินออกจากอาคารอันทันสมัยนี้แล้ว เข้าสู่ส่วนจัดแสดงต่างๆ  จะรู้สึกเหมือนเดินทางผ่าน ไทม์มาชีนสู่ยุค วิคทอเรียน เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เข้าสู่หมู่บ้าน มีสวนสนุกแบบโบราณ เหมืองถ่านหิน ที่เราสามารถลงไปข้างล่างได้เป็นรอบๆ โดยการเดินเท้าลงไปสัมผัสกับบรรยากาศ และเรียนรู้ชีวิตอันแสนยากเข็ญของคนงานเหมืองในช่วงปี 1850

สวนสนุก ความบันเทิงของชาวบ้านเมื่อร้อยกว่าปีก่อน



เด็กยุคนี้กับความสนุกของยุคก่อน
ในเหมืองถ่านหิน ก่อนจะมีการขุดคลองเพื่อการขนส่ง จะใช้ม้าตัวเล็กลากรถรางบันทุกถ่านหิน

            
 เมื่อเดินต่อไปจะพบโรงเรียน ซึ่งจะให้ผู้เข้าชมไปนั่งเรียนได้เป็นรอบๆ เช่นกัน คุณครูผู้เข้มงวด จะทำการตรวจความสะอาด เล็บ และผม ของนักเรียน  ดังนั้นถ้าใครไม่อยากขายหน้าดูแลให้ดีก่อนเข้าโรงเรียนนะคะ เพราะคุณครูที่นี่ครูไหวใจร้ายดีๆนี่เอง    ในห้องเรียนจะมี โต๊ะเรียนจำลองแบบเก่า และ มีเตาผิงเหล็กหล่อ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ จากนั้นก็จะเป็นการเขียนหนังสือบนกระดานชนวน โดยคุณครูจะมาตรวจด้วยว่าเขียนสวยรึเปล่า
โรงเรียน St James ถูกสร้างขึ้นในปี1842 ปรับปรุงในปี 1912 เปิดสอนมาจนกระทั่งทศวรรษที่ 1980 และถูกร้ื้อมาสร้างใหม่ที่พิพิธภัณฑ์นี้ในปี 1991 สังเกตุคุณครู จะมีไม้เรียวติดมือตลอด



จากนั้นเราก็จะเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งจะมีส่วนที่เป็นร้านค้าต่างๆเช่นร้านของชำ ร้านขายยา ที่จัดแสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนร้านค้าเป็นอย่างนี้และมีอะไรขายบ้าง แต่ก็มีร้านอื่นๆอีกที่เราสามารถเข้าไปอุดหนุนได้จริง เช่นผับ ที่น่าสังเกตคือที่พื้นจะมีฟาง เต็มไปหมด เนื่องจากสมัยก่อนคนชอบ เคี้ยวยาฉุนและบ้วนลงบนพื้น ฟางนี้เอาไว้ซับน้ำบ้วนนั่นเอง , ร้านขาย ฟิช แอนด์ ชิปส์ ที่แสนอร่อย โดยใช้สูตรดั้งเดิม ที่ผสม เอล (เบียร์)ในแป้งชุบทอด และ น้ำมันที่ใช้ทอดเป็นมันวัว (beef dripping) ไม่ได้ใช้น้ำมันพืชแบบที่นิยมในปัจจุบัน ต้องขอย้ำว่าอร่อยมากๆ มาถึงต้องลองนะคะ แต่ไม่ต้องถามหาซอสมะเขือเทศนะคะ ที่นี่สูตรโบราณ โรยเกลือ กับ น้ำส้มสายชูเท่านั้นค่ะ 





ร้านเครื่องมือ และ ฮาร์ดแวร์ สินค้าในยุคนี้เป็นผลผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งต่างจากยุคก่อนที่เป็นของที่ทำด้วยมือทีละชิ้น

ร้านขนมหวาน กับร้านขนมเค้ก ก็เข้าไปซื้อได้ค่ะ ในยุควิคทอเรี่ยนนี่เองที่อังกฤษได้อาณานิคมแถวคาริเบียนซื่งชาวอังกฤษได้เข้าไปจับจองผืนดิน เพื่อการปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลโดยแรงงานทาส น้ำตาลในอังกฤษซึ่งเดิมทำจากหัวบีทในประเทศ เปลี่ยนมาใช้น้ำตาลอ้อย จากของหายากมาเป็นของที่หาได้ทั่วไป ลูกอม และ ฟัดจ์แบบต่างๆที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็มีต้นกำเนิดจากยุคนี้ ส่วนขนมเค้กตัวเอกคือวิคทอเรียแซนด์วิช ซึ่งเป็นเค้กที่ พระราชินีวิคทอเรียทรงโปรดมาก และ เสวยทุกวันกับน้ำชาจึงได้ชื่อนี้มา แต่ที่เรียกว่าแซนด์วิช ก็เพราะเกิดจากการเอาเค้กชิ้นบางๆสองชิ้นมาทาครีม และแยม แล้วเอามาประกบกันเหมือนแซนด์วิชโดยที่ไม่แต่งหน้าเค้กด้วยครีมแค่โรยน้ำตาลเท่านั้น



นอกจากร้านค้าต่างๆแล้วในหมู่บ้านก็ยังมี โรงหนัง โรงหล่อเหล็ก และบ้านช่อง ที่เราสามารถเข้าไปดูได้ บ้านเหล่านี้ภายในมีการจัดเฟอร์นิเจอร์ไว้เหมือนกับว่าเจ้าของบ้านพึ่งจะออกจากบ้านไปเมื่อเช้านี้เพื่อไปทำงาน แล้ว จะกลับมาในไม่ช้า ในบ้านทุกหลังในห้องด้านหน้าจะต้องมีเตาผิงเหล็กหล่อทั้งชิ้น ที่คนในยุคนั้นใช้ต้มน้ำ และ ปรุงอาหารด้วย เวลาอาบน้ำก็จะเอาอ่างอาบน้ำสังกะสีมาวางไว้หน้าเตาผิงเพื่อความอบอุ่น เทน้ำร้อนลงไปใช้อาบทั้งครอบครัว นอกจากนี้บริเวณถนนในหมู่บ้านจะมีของเล่นกลางแจ้งต่างๆของเด็กยุควิคทอเรี่ยน วางไว้ให้เราลองเล่นได้โดยจะมีพนักงานที่แต่งตัวและพูดจาแบบโบราณมาสาธิตการเล่นให้ดู ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดให้มีคนโบราณมาเดินไปเดินมาสร้างบรรยากาศ หรือบางทีก็นั่งอยู่ในบ้านคอยอธิบายนั่นนี่อีกด้วย

เหตุที่ผืนที่ดินแห่งนี้ถูกเลือกเพื่อมาสร้างพิพิธภัณฑ์ ก็เนื่องจากเป็นผืนที่ดินที่มีเหมืองถ่านหินเก่า และมีคลองที่ขุดเชื่อมต่อเข้าไปในเหมืองเพื่อการขนส่ง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้นั่นเอง 




นอกจากการเดินชมแล้วผู้เข้าชมยังสามารถนั่งเรือเข้าไปในเหมือง อีกด้วย โดยจะต้องซื้อตั๋วต่างหาก เนื่องจากส่วนนี้ จัดการโดยองค์กรเพื่อการบริหารคลองของ ดัดลี่ (Dudly canal trust) ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ พิพิธภัณฑ์ ทั้งนี้จะสามารถขึ้นเรือโดยไม่เข้าทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้ เพราะมีทางเข้า และที่จอดรถต่างหาก


นั่งเรือเข้าเหมืองถ่านหินเก่า


สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ชมได้ที่
www.bclm.co.uk

การเดินทาง
ทางรถ  
 3 ไมล์จากทางออกที่2ของมอเตอร์เวย์ M5, 7ไมล์ จากทางออกที่10 ของมอเตอร์เวย์ M6
 (ขับตาม ถนน   A454)10 ไมล์จาก เบอร์มิงแฮม ขับตามป้ายสีน้ำตาล ที่จอดรถแบบเก็บเงิน Sat Nav; DY1 4SQ

ทางรถไฟ
สถานี Tipton (1ไมล์) สาย Birmingham-Wolverhamton (ตรวจสอบตารางเวลาที่ 0844 811 0133 หรือ www.londonmidland.com

ทางรถเมล์
ตรวจสอบสายรถเมล์ได้ที่ โทร 0871 200 2233 หรือ www.travelinemidlands.co.uk

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

KEEP CALM AND CARRY ON




Keep calm and carry on เป็นสโลแกนที่เห็นพิมพ์บนสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอน ของแต่งบ้าน หรือ แม้แต่ถ้วยกาแฟ แต่เคยสงสัยกันบ้างมั๊ยคะ ว่ามันมีที่มาอย่างไร


 ในช่วงเวลาที่ รัฐบาล สหราชอาณาจักร กำลังเตรียมจะนำประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่นั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการเตรียมความพร้อมของคนในชาติ กระทรวงข้อมูลข่าวสาร( Ministry of information)จึงได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นการเฉพาะ (ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ก็มีแต่ได้ยุบไปเมื่อสงครามสิ้นสุดลง) หน้าที่หลักคือ การประชาสัมพันธ์  และการโฆษณาชวนเชื่อ ช่วงระหว่าง 27 มิถุนายนถึง 6 กรกฎาคม 1939 ทางกระทรวงได้สั่งตีพิมพ์ โปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ KEEP CALM AND CARRY ON ซึ่งหมายความว่า จงอยู่ในความสงบและดำเนินชีวิตต่อไปตามปรกติ โดยเป็นหนึ่งในชุด ที่ประกอบด้วยโปสเตอร์ 3 แผ่นที่มีรูปลักษณ์แบบเดียวกันคือมีข้อความพิมพ์ตัวอักษรสีขาวอยู่ใต้ตราแผ่นดิน คือ มงกุฏ (Tudor crown) ซึ่งแต่ละแผ่นจะต่างกันที่สีพื้น โปสเตอร์อีกสองแผ่นมีข้อความว่า"Your Courage, Your Cheerfulness, Your Resolution Will Bring Us Victory"( ความกล้าหาญ ความฮึกเหิม และความมุ่งมั่นของท่านจะนำมาซึ่งชัยชนะ)บนพื้นสีน้ำเงิน  และ  "Freedom Is in Peril. Defend It With All Your Might" (เสรีภาพอยู่ในอันตราย จงปกป้องมันจนสุดแรง)บนพื้นสีเขียว โปสเตอร์ชุดนี้ถูกจัดพิมพ์ขึ้นเพื่อ การปลุกใจให้ประชาชนมีจิตใจที่ฮึกเหิม และพร้อมจะสนับสนุนรัฐบาลในการก้าวเข้าสู่มหาสงคราม แต่ที่สำคัญคือ การเตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพการถูกกระหน่ำทิ้งระเบิดของนาซี ในเมืองสำคัญต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า


  
มีการบันทึกว่า โปสเตอร์ KEEP CALM AND CARRY ON นี้ได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นถึง 2,500,000 แผ่น แต่กลับแทบจะไม่ได้นำไปปิดที่ใดเลย เนื่องจากมีคำสั่งลงมาให้เก็บไว้ปิดหลังการโดนถล่มทางอากาศครั้งใหญ่ๆ น่าจะเหมาะสมกับเนื้อหามากกว่า และให้ใช้งบประมาณในการพิมพ์อีกสองแผ่นที่เหลือแทน  จนกระทั่งปี1940 โครงการโปสเตอร์ชุดนี้ก็ได้ถูกพับไปหลังจากที่โดนวิภาควิจารณ์อย่างหนักถึงการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า อีกทั้งมีข้อกังขาว่าข้อความเป็นการใช้ภาษาในลักษณะออกคำสั่งโดยเฉพาะ  KEEP CLAM AND CARRY ON แล้ว ยิ่งฟังดูเหมือน พวกผู้ดีในสภากำลังสั่งประชาชนสามัญให้ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ อย่างนายสั่งลูกน้อง

ในปีเดียวกัน ต้นฉบับที่ถูกเก็บไว้ในโกดังทั้งหมดก็ได้ถูกนำไปย่อยเพื่อนำเยื่อกระดาษมาใช้ใหม่ ประชาชนทั่วไปจึงแทบจะไม่มีใครเคยได้เห็นโปสเตอร์แผ่นนี้ แม้ว่าจะมีภาพร้านค้าแห่งหนึ่งใน เมือง ลีดส์ มีโปสเตอร์นี้ติดอยู่ที่หน้าต่าง ออกบนหน้าหนังสือพิมพ์the Yorkshire Post and Leeds Mercury ฉบับเดือน ตุลาคม ปีเดียวกันนั้น แต่ผู้คนที่เคยใช้ชีวิตในช่วงเวลานั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยเห็น และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีโปสเตอร์แผ่นนี้


ปี คศ.2000 นาย Stuart Manley  และ นาง Marryภรรยาของเขาเจ้าของร้านหนังสือ Barter Books Ltd ได้ไปพบโปสเตอร์ KEEP CALM AND CARRY ON นี้โดยบังเอิญขณะกำลังตรวจสอบหนังสือเก่าๆที่เขาได้ซื้อมาจากการประมูลของเก่าลังหนึ่ง จึงได้นำมาใส่กรอบแล้วแขวนไว้ที่หลังเคาท์เตอร์เก็บเงิน หลังจากนั้นลูกค้าก็ให้ความสนใจอย่างมากจนเขาได้ตัดสินใจ พิมพ์สำเนาขึ้นเพื่อจำหน่าย ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างสูง เชื่อกันว่า โปสเตอร์ใบนี้จะเป็นเพียงใบเดียวที่รอดพ้นผ่านการเวลามาจนยุคปัจจุบัน จนกระทั่ง ในปี2008 ในรายการ  Antiques roadshow ซึ่งเป็นรายการทีวี ที่ตระเวนถ่ายทำไปทั่วประเทศอังกฤษ และเปิดโอกาสให้แฟนรายการในเมืองนั้นๆนำเอาของเก่าเก็บที่สะสมไว้หรือรับทอดมาให้ผู้เชี่ยวชาญในรายการได้วิเคราะห์อายุ เรื่องราวความเป็นมาต่างๆ รวมถึงการตีราคาค่างวด ด้วยนั้น ได้มีผู้ชมรายหนึ่งนำเอาโปสเตอร์ KEEP CALMรุ่นออริจินัลเข้าไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบถึง 20 แผ่นด้วยกัน ซึ่งได้สร้างความฮือฮา และได้จุดประกายความหวังขึ้นอีกครั้งว่าจะมี โปสเตอร์แบบนี้หลุดรอดเงื้อมมือของกาลเวลา แอบซุกซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งรอคอยการค้นพบของชนรุ่นหลัง


และนั่นก็คือที่มาของโปสเตอร์ สุดเก๋ที่เราเห็นกันทั่วไป ในปัจจุบันที่นำมาใช้ในทางการค้า แต่จุดเริ่มต้นของมันกลับระคนปะปนมากับความกลัว,ความกล้า,ความเป็น,ความตาย,ความอดทน และ ความฮึกเหิมของคนอังกฤษในยุคนั้นค่ะ

ปัจจุบันได้มีการนำเอา รูปแบบไปใช้เพื่อให้เนื้อหาเข้ากับสินค้า หรือ หัวข้อเรื่องต่างๆ หลายอย่าง เช่น KEEP CALM AND EAT CUP CAKES, KEEP CALM AND CONTINUE SHOPPING เป็นต้น





มาลองดูภาพโปสเตอร์อื่นๆ ที่ออกโดย กระทรวงข้อมูลข่าวสาร กันนะคะ


โปสเตอร์ข้างบนนี้เชิญชวนไปเกณฑ์ทหารค่ะ

ส่วนข้างล่าง เป็นการแนะนำการปฏิบัติตนในช่วงสงคราม เช่นการรณรงค์ให้ประหยัด ซ่อมแซมของใช้เอง การเอาเศษอาหารไปเลี้ยงหมู การเสียสละให้คนที่เดินทางไกลกว่าใช้ม้า หรือการขนส่งสรธารณะส่วนภาพที่มุมขวานั้นมาจากคำสั่งรัฐบาลที่ให้ส่งเด็กๆไปอยู่ชนบท เพื่อให้ปลอกภัยจากการโจมตีทางอากาศ ในเมืองสำคัญๆ โดยเฉพาะ กรุงลอนดอน ( ลองนึกถึงฉากต้นๆของเรื่อง Nania The witch and the wardrobe ดูนะคะ)แต่มีแม่ๆบางคนที่มีความคิดจะนำลูกกลับมาอยู่กับตน ภาพนี้ ใช้ฮิตเลอร์ทำหน้าที่เป็นตัว Devil  เป็นพรายกระซิบให้คุณแม่ไขว้เขว ซึ่งแสดงถึงการใช้ถาพสื่อข้อความ และ เพื่อให้เกิดความชิงชังฝ่ายตรงข้ามไปในเวลาเดียวกัน




ปล ขอบคุณภาพประกอบสวยๆจาก wikipedia และ keepcalmtshirt .com ค่ะ

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

มิชลินสตาร์ มิชลินไกด์ มันอะไรกันหนอ



มิชลินไกด์ หรือ กิ๊ด ค์รูช มิชแลง เป็นหนังสือแนะนำเส้นทาง ตีพิมพ์โดยบริษัท มิชลินที่ขายยางรถยนต์นี่แหละค่ะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาหารกันนี่
รู้ไว้ใช่ว่า ขอเสนอ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยว่าด้วย ความเป็นมาของ ดาวมิชลินว่าดาวยางรถยนต์เหตุใดมาตกลงที่ร้านอาหารได้

ช่วงระหว่างปี คศ 1936-1939 ทางรัฐบาลฝรั่งเศสได้ออกกฏหมายแรงงานฉบับใหม่ ประกาศให้บริษัทห้างร้านต้องอนุญาติให้ลูกจ้างลาพักร้อนได้โดยได้รับค่าจ้างตามปรกติ ปีละสองสัปดาห์ จากเดิมที่หากจะลาหยุดก็จะไม่ได้รับค่าจ้างในวันที่หยุด การออกกฏหมายฉบับนี้ ได้พลิกโฉมหน้าของการท่องเที่ยวในประเทศฝรั่งเศส ประจวบเหมาะกับอุตสาหกรรมยานยนตร์ได้พัฒนาถึงจุดที่ทำให้ราคาของรถยนต์ลดลงมาอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ ความนิยมการเดินทางโดยรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นยุคทองของหนังสือเล่มเล็กๆที่ออกรายปี เล่มหนึ่ง ซึ่งก็คือ มิชลินไกด์นี่เอง
สองพี่น้องตระกูลมิชลินได้จัดพิมพ์มิชลินไกด์ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี คศ.1900  ซึ่งนับเป็นเล่มแรกของยุโรปที่ตีพิมพ์เนื้อหาเน้นไปทางการแนะนำเส้นทาง รวมถึงบอกพิกัดสถานีบริการ เปลี่ยนยางรถ และปั๊มน้ำมัน เนื่องจากในขณะนั้นทั้งประเทศฝรั่งเศสมีรถยนต์อยู่ไม่ถึง 3000 คัน สถานีบริการต่างๆจึงมิได้มีเรียงรายอยู่ตามท้องถนน อย่างในปัจจุบัน  ทั้งนี้จุดประสงค์หลักก็เพื่ออำนวยความสะดวก และ ส่งเสริมการเดินทางโดยรถยนต์ เพราะเมื่อการใช้รถยนต์เพิ่มขึ้น ยอดขายยางรถยนต์ก็ต้องเพิ่มตาม
หนังสือแจกฟรีเล่มเล็กๆเล่มนี้ทำให้การเดินทางของหลายๆคนราบรื่นขึ้นโดยเฉพาะเมื่อเดินทางไปต่างถิ่นที่ไม่เคยไป เมื่อเห็นว่าประสพความสำเร็จดี จึงได้จัดให้พิมพ์ในประเทศอื่นๆในยุโรปในปีถัดๆไป


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 การตีพิมพ์ต้องหยุดลงเมื่อสงครามหยุดก็พิมพ์ต่อเพื่อแจกจ่ายจนกระทั่งปี 1920 นาย อองเดร มิชลิน ขณะไปเยี่ยมชมตัวแทนจำหน่ายแห่งหนึ่ง เขาได้สังเกตุเห็นว่าหนังสีอที่เขาได้ตั้งใจพิมพ์ออกมานั้นหลายเล่มถูกเอาไปหนุนขาโต็ะเสีย ตามหลักการที่ว่า บุคคลพึงยกย่องเพียงสิ่งที่ตนต้องแลกมาด้วยทรัพย์ ( man only truly respects what he pays for.)   เขาและน้องชายจึงได้ตัดสินใจ ว่าต้องตั้งราคาให้ไกด์บุคของพวกเขา และทำการจำหน่ายแทนการให้เปล่า ในการนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่นการเพิ่มส่วน แนะนำที่พัก โรงแรม และ ร้านอาหาร เมื่อพบว่าส่วนร้านอาหารเป็นที่นิยมอย่างสูง สองพี่น้องได้จ้างทีมผู้ประเมิน ขึ้นโดยเฉพาะ เพื่อให้เดินทางไปชิมอาหารตามที่ต่างๆ โดยมิได้เปิดเผยตัวตน
ในปี 1926 ได้เริ่มติดดาวให้ภัตตาคารระดับสูง (fine dinning restaurants หรือ restaurants gastronomiques)โดยมีเพียงดาวเดียว ต่อมาในปี 1931 ได้เริ่มจัดลำดับ หนึ่ง สอง และ สามดวง จนที่สุดปี 1936 จึงได้มีการประกาศ กติกา เงื่อนไข การติดดาวในระดับต่างๆ



ระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 เล่ากันว่า ในปี 1940 กองทัพเยอรมัน ใช้มิชลินไกด์ นำทางเพื่อบุกเมืองต่างๆของฝรั่งเศส เนื่องจาก หนังสือมีข้อมูลด้านแผนที่และพิกัดต่างๆ ที่มีความแม่นยำสูงมาก จนกระทั่งปี 1944 หลังกองทัพสัมพันธมิตร บุก นอร์มังดี ได้มีการตกลงลับเพื่อจัดพิมพ์ ไกด์บุคฉบับปี 1939 เป็นพิเศษขึ้นที่ กรุงวอชิงดัน ดีซี เพื่อใช้ในการสงครามโดยเฉพาะ เมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ทางบริษัทก็ได้ดำเนินการจัดพิมพ์อีก ฉบับแรกออกเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 1945 หลังวันสิ้นสุดสงครามในยุโรป หรือ VE Day เพียงหนึ่งสัปดาห์ สืบเนื่องจากสงคราม และผลกระทบ ทำให้มีการจำกัด การติดดาวอยู่ที่สูงสุด สองดวงอยู่หลายปี

ในปี 1955 ทางไกด์ได้เพิ่ม สัญลักษณ์เข้าไปอีกอย่าง มีชื่อเรียก ว่า บิบ กูค์มอง เพื่อเป็นการแนะนำร้านอาหารรสเลิศแต่ราคาย่อมเยา ทั้งนี้ Bib หรือ Bibendum เป็นชื่อเล่นที่ทางบริษัทใช้เรียก มิชลินแมน ตัวนำโชคที่อยู่คู่กับบริษัทมานับศตวรรษ

ปี 2005 มิชลินไกด์ ฉบับสหรัฐ ได้ถูกตีพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรกโดยเริ่มจาก นิวยอร์คไปก่อน ปี 2007เปิดตัวที่ญี่ปุ่น ปี2008 เป็นปีของฮ่องกง และ มาเก๊า
สำหรับในเมืองไทยเรา ณ เวลานี้ (2015) ทางผู้จัดพิมพ์ยังไม่ได้มีการติดดาวให้ภัตตาคารใดนะคะ แต่มีพ่อครัวที่มีดาวทั้งหลายพากันมาเปิดสาขา บ้างก็เป็น พ่อครัวที่ปรึกษา ในหลายๆแห่ง ซึ่งรสชาติอาหาร และ คุณภาพบริการ ไม่แพ้ ภัตตาคารติดดาวในยุโรปเลยค่ะ เพียงแต่รอเวลาให้ดาวจาก กาแลกซี่ที่ชื่อ มิชเชอลิน ตกลงมาประดับที่ร้านอาหารของตนเท่านั้นค่ะ


ขอบคุณภาพถ่ายจาก
stlmag.com
telegraph.com
wikipedia
restaurantfris.nl


วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเจ้าสาวจึงใส่ชุดขาว





หลายคนเชื่อว่าสีขาวของชุดเจ้าสาวนั้นสื่อถึงความบริสุทธิ์ แต่จริงๆแล้วเดิมที สีที่สือถึงความบริสุทธิ์นั้น คือสีฟ้าต่างหาก  สมัยก่อนเจ้าสาวจะใส่สีอะไรก็ได้ตามชอบแม้แต่สีดำ ซึ่งเป็นสีที่ฮิตมากในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย เจ้าสาวในชุดขาวที่ได้มีการบันทึกไว้เป็นรายแรกในยุโรป คือเจ้าหญิง ฟิลิปปา แห่ง อังกฤษ ในปี คศ.1406  ถัดมา ในปี คศ 1559ราชินี แมรี่ แห่ง สก๊อต ก็ทรงฉลองพระองค์สีขาวครั้งที่
อภิเษกสมรสกับ เจ้าชาย ฟรานซิส แห่งฝรั่งเศส เพราะเป็นสีทรงโปรด แม้ว่าสีขาวจะเป็นสีไว้ทุกข์สำหรับราชินีฝรั่งเศสก็ตาม


อย่างไรก็ดีชุดสีขาวนั้นก็ยังไม่เป็นที่นิยมโดดเด่นจากสีอื่นๆจนกระทั่ง ปี คศ1840 พระนางเจ้าวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ อภิเษก กับเจ้าชายอัลเบิร์ต แห่ง ซัดโคเบิร์ก ขณะนั้นทรงครองราชแล้ว เป็นราชินีผู้ครองบังลังก์ (queen regnant) ชุดแต่งงานของท่านจึงต้องแสดงออกถึง ความรักชาติ หน้าที่และความรับผิดชอบที่ทรงแบกรับ ช่วงเวลานั้นเองการปฏิวัติอุตสาหกรรมสิ่งทอส่งผลกระทบต่อ การผลิตลูกไม้ที่ถักด้วยมือเพราะลูกไม้ที่ผลิตโดยเครื่องจักรมีราคาถูกกว่ามาก ทำให้ช่างถักลูกไม้ตกงานเป็นจำนวนมากถึงขนาดเป็นวาระแห่งชาติ พระนางเจ้า วิคตอเรียจึงทรงเจาะจงให้ใช้ลูกไม้ทำมือจาก ฮอนิตัน (Honiton)ซึ่งเป็นลูกไม้ที่มีความละเอียด อ่อนช้อย ถือเป็นสุดยอดของลูกไม้ในอังกฤษ เพื่อเป็นการส่งเสริม อุตสาหกรรมทำมือซึ่งแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของอังกฤษ และสีขาวคือสีที่เหมาะสมที่สุดในการขับให้เห็นถึงความงามในศิลปะการถักลูกไม้ ในกรณีนี้สีขาวจึงสื่อถึง ความเหมาะสม และความรักชาติ  มากกว่าจะเป็นความบริสุทธิ์ เพราะเจ้าสาวไม่ใช่แค่ สาวบริสุทธิ์ที่ กำลังก้าวเข้าสู่วิถีชิวิตของการผลิตลูก และ การดูแลบ้าน หากเจ้าสาวคนนี้ เป็น ผู้ปกครองจักรวรรษ อันเกรียงไกร และ กำลังขยายอิทธิพลไปทั่วโลก อีกทั้งในอังกฤษเอง ตั้งแต่รัชกาลก่อน ความนิยมต่อราชวงศ์ถดถอยลง เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชนั้น ทรงเป็นเพียงเจ้าหญิงวัยรุ่น ทรงเป็นความหวังว่าจะเป็นผู้กอบกู้สถานการณ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นที่กังขาว่าจะไปได้ซักกี่น้ำ ดังนั้นทุกสิ่งที่ทรงทำจึงต้องผ่านการคิดคำนวณแล้ว อย่างดี ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่พระองค์ ฉลองพระองค์ชุดนี้ จึงมิใช่แค่ชุดแต่งงาน แต่เป็นเหมือน คำประกาศ คำเป็นร้อยคำที่ไม่ต้องพูดแม้คำเดียว ภาพถ่ายฉลองพระองค์นี้ได้ถูกตีพิมพ์ออกไปอย่างแพร่หลาย


จากนั้นเจ้าสาวทั้งหลายก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวว่าชุดแต่งงานของพวกเธอต้องเป็น สีขาวและข้อสำคัญลูกไม้ โดยเฉพาะลูกไม้ ฮอนิตันก็เป็นที่ต้องการอย่างสูงเช่นกัน  อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นสียอดปรารถนาของเจ้าสาวทั้งหลาย ชุดขาว ก็ยังจำกัดอยู่ในวงสังคมชั้นสูง และผู้มีอันจะกิน เนื่องจากการฟอกผ้าขาวยังทำได้ยาก และมีราคาแพง จวบจนกระทั่งช่วงรอยต่อศตวรรษที่19 กับ 20 ได้มีการพัฒนาด้านเคมีภัณฑ์ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการฟอกผ้าขาวลดลงมาอยู่ในระดับที่ เหล่าชนชั้นกลาง ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคนั้นสามารถเข้าถึงได้ จากนั้นภาพเจ้าสาวในชุดขาวก็กลายเป็นสิ่งที่เห็นกันจนชินตา จนพัฒนาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ และได้แพร่ขยายไปภูมิภาคต่างในโลก จนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Afternoon tea

การดื่มน้ำชาตอนบ่าย

ช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงที่ความนิยมดื่มชาในประเทศอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างมาก และซึ่งก็เป็นช่วงเวลาที่ เล่ากันว่า
แอนนา ดัชเชสคนที่ 7 แห่งเบดฟอร์ดมักจะบ่นว่ารู้สึก หมดแรง อยู่บ่อยๆในช่วงเวลาบ่ายๆโดยเฉพาะช่วงฤดูร้อน ในยุคนั้น อาหารมื้อหลักๆก็จะมีเพียงสองมื้อเท่านั้น คือมื้อเช้า และมื้อเย็น ที่ประมาณ สองทุ่ม ดัชเชสแอนนาจึงแก้ปัญหาโดยการ ดื่มชากับรับประทานขนมขบเคี้ยวเบาๆ เป็นการรองท้องในช่วงเวลาบ่าย ที่ห้องนั่งเล่นส่วนตัว จากนั้นก็ได้มีการเชิญเพื่อนๆมา ที่ วอเบิร์น แอบบี้ ( Woburn Abbey)ซึ่งเป็นบ้านพักฤดูร้อนที่อยู่ต่างจังหวัด
เมื่อเห็นว่าจิบน้ำชา พร้อมของว่าตอนบ่ายเป็นที่ชื่นชอบของแขกรับเชิญ ดัชเชสแอนนา จึงได้นำกลับมาปฏิบัติอีก เมื่อกลับมาพำนักที่ ลอนดอน จากนั้นกาจจิบน้ำชาก็เป็นที่แพร่หลายไปทั่วในหมู่สังคมชั้นสูง





ปัจจุบัน น้ำชาตอนบ่ายนี้จะประกอบด้วย ชาหนึ่งกา ของว่างนิยมจัดบนจานสามชั้น (tier) เริ่มจากชั้นล่าง แซนด์วิชที่มักจะตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ, ขั้นกลางขนม สโกน เสริฟ พร้อมกับ ครีมเข้มข้น (clotted cream)และ แยมผลไม้ และขนมหวาน ชิ้นเล็กๆอยู่ชั้นบนสุด ในบางกรณีจะมีการเพิ่ม แชมเปญ หรือ สปาคคลิ่ง ไวน์ เช่นการ ฉลองวันเกิด หรือฉลองการตั้งครรภ์ (baby Shower) เป็นต้น