วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

Happy St George's day

วันที่ 23 เมษายนเป็นวันที่คนอังกฤษ ฉลองให้กันักบุญประจำชาติอังกฤษ หรือ saint George (เฉพาะส่วน England เท่านั้น นักบุญของ Scotland คือ saint Andrew นักบุญประจำ Wales คือ saint David และ ที่ดังที่สุดคือนักบุญประจำ Ireland saint Patrick นั่นเอง)

นักบุญ George ผู้นี้เป็นทหารโรมมันที่มีตัวตนอยู่จริง มีชีวิตในช่วงคริสตศักราชที่ 275 และเสียชีวิตวันที่ 23 เมษยน 303 และใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่ถือเป็นจังหวัดของโรมัน ที่ปัจจุบันเป็นบริเวณประเทศ ซีเรีย ลิเบีย และ เลบานอน ตำนานที่ทำให้ นักบุญ George เป็นที่รู้จักคือ ตำนาน saint George and the Dragon เรื่องมีอยู่ว่า ที่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง (บางตำนานว่าอยู่ใน Beirut บ้างก็ว่าอยู่ใน ลิเบีย บ้างก็ว่าอยู่ เมือง Lydda ในเขตุดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือ แผ่นดินที่พระคริสต์เกิดและใช้ชีวิต) ที่ริมแม่น้ำนี้มี มังกรมาสร้างรังอยู่ (อาจจะเป็นจรเข้) ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถสัญจร และไปตักน้ำได้ ด้วยไม่รู้จะทำยังไง จึง เอาแกะไปให้มังกรกิน จะได้ไม่จับชาวบ้านกิน แต่มังกรก็กินเก่งและต้องการอาหารทุกวันจน หาแกะให้ไม่ทัน เมื่อไม่มีแกะ ก็จะส่งหญิงสาวไปให้ โดยการจับฉลาก จนมาถึงวันสุดท้ายปรากฏว่า เลขดันไปออกที่เจ้าหญิง ธิดาผู้ครองนคร ขณะที่กำลังจะเอาเจ้าหญิงไปให้มังกรกิน นักบุญ จอร์จก็ผ่านมาพอดี  จึงเข้าไปต่อสู้และปลิดชีพมังกรที่สร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านมาเป็นเวลานาน และช่วยชีวิดเจ้าหญิงไว้ได้ นักบุญจอร์จผู้นี้มีเครื่องหมายกางเขนติดตัวมาเป็นเครื่องคุ้มกันตน ชาวบ้านจึงละทิ้งความเชื่อดั้งเดิมของตนและเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ ตำนานนี้ถูกเล่าขานในอังกฤษโดยอัศวินที่กลับจากการรบในสงครามศักดิ์สิทธิ์ หรือ สงคราม Crusade) สัญลักษณ์ของ นักบุณจอร์จ คือ กากบาทสีแดงบนพื้นขาว และเครื่องหมายนี้ต่อมาได้ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของอัศวินจากอังกฤษที่เข้ารบในสงครามCrusade โดย Richard the lion heart ในยุคต่อมา (สงคราม Crusade เป็นสงครามแย่งแผ่นดินที่ทั้งชาวคริสต์และชาวมุลลิมก็ถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกตน มีด้วยกันทั้งหมด 4 ครั้ง ผลัดกันแพ้ชนะ กินเวลายืดเยื้อ เกือบ200 ปี)
และนับเอานักบุณจอร์จผู้นี้เป็นนักบุญผู้ปกป้องอังกฤษด้วย
(Richard the lion heart ผู้นี้เป็นพี่ชายของ King John พระราชาผู้ชอบขูดรีดภาษี ในเรื่อง Robin hood นั่นเอง)
วันนี่ 23 เมษายน นี้ยังเป็นวันที่มีความสำคัญอีกอย่างคือ เป็นวันเกิด และวันตายของ กวีเอก William Shakespeare อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

Easter ทำไมต้อง ไข่ กับ กระต่าย


เทศการ Easter เป็นเทศการทางศาสนาคริสต์ เพื่อระรึกถึงการฟื้นคืนชีพของพระ เยซูคริสต์ สามวันหลังการถูกตรึงกางเขนจนเสียชีวิต(the Resurrection)  ก่อนจะเสด็จขึ้นสวรรค์ไป ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าเทศการคริสต์มาสเลยทีเดียว เมื่อถึงช่วงเทศการ ร้านค้าต่างๆจะนำเอา ช๊อคโกเลตที่ทำเป็นรูปไข่ และ รูปกระต่าย ห่อกระดาษสีสันสดใสมาวางจำหน่าย จริงๆกระต่าย และ ไข่ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์เลย แต่ที่นำมาใช้ในการฉลองนี้มีที่มาตั้งแต่ก่อนศาสนาคริสต์จะเข้ามาถึงดินแดนยุโรปเหนือเสียอีก ขนเผ่า Saxon ที่อาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษเป็นพวกบูชา เทพเจ้าแห่งธรรมชาติ หรือที่เรียกกันว่า 'เพเก็น' pagan ชนเผ่านี้มีเทศการฉลองฤดูใบไม้ผลิของตนเองที่เรียกว่า Eastre หรือ Eostre เพื่อบูชา เทพีแห่งฤดูใบไม้ผลิ ผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ผืนแผ่นดินโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับทิศตะวันออก (East)  สัญลักษณ์ของเทพีนี้คือกระต่าย เนื่องจากกระต่ายจะตกลูกจำนวนมากในช่วงต้นฤดู
ว่ากันว่า กระต่ายอีสเตอร์จะเอาตะกร้าใส่ไข่สีสันสดใส มาให้เด็กๆในคืนก่อนวันอีสเตอร์ แบบเดียวกันที่ (ซานตาคลอส เอาของขวัญมาส่งก่อนวันคริสต์มาสนั่นเอง) โดยจะเอาไปแอบไว้ในบ้านหรือในสวนหลังบ้านของเด็กๆ เมื่อถึงเวลาเช้าเด็กๆตื่นขึ้นมาก็จะต้องตามหาไข่ให้เจอ จึงเป็นที่มาของกิจกรรม Easter eggs hunt นั่นเอง
เนื่องจากฤดูใบไม้ผลินับเป็นฤดูแห่งชีวิด หลังจากช่วงเวลาแห่งความเหน็บหนาวของฤดูหนาวที่พรากชีวิตชีวาไปจากผืนดิน เมื่อพระอาทิตย์ข้ามผ่านเส้นศูนย์สูตร ทำให้ช่วงเวลากลางวันยาวนานเท่ากับกลางคืน (Equinox) ทำให้ผืนดินมีความอบอุ่นเพียงพอ ดอกไม้จะผลิบาน นับเป็นการเริ่มต้นชีวิตหลังจากความตายของฤดูหนาว นับว่าเข้ากับ คอนเซ็ปท์ของการฟื้นคืนชีพของพระเยซูมากๆ
แม้ทางศาสนจักรจะพยายามให้ศาสนิกชนสนใจเรื่องพระคริสต์มากกว่าการไปสนใจกระต่ายและไข่ที่ทำจากชอกโกเล็ต เนื่องจากเป็นประเพณีของของ pagan ชึ่งถือเป็นพวกนอกรีต แต่กระต่าย และไข่อีสเตอร์ก็ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางการค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

สัมผัสชีวิตยุค วิคทอเรี่ยน ที่ Black country living museum ,Dudley,UK




          สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ ชอบสัมผัสกับอดีตขอแนะนำค่ะBlack country living museum ตั้งอยู่ในเขตุเมือง Dudley ระยะทางขับรถประมาณ 1ชม.จาก Birmingham ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่อาคารต่างๆนั้นถูกซื้อ มาจากทั่วบริเวณ Black country แล้วรื้อถอนอิฐทีละก้อนอย่างถูกหลักวิชาการเพื่อนำมาสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมทีละหลัง จนสร้างเป็นหมู่บ้าน ในยุคปลายศตวรรษที่ 19  เปิดทุกวัน เว้นวัน จันทร์ และ อังคาร 10.00 น. ถึง 16.00 น. เวลาในการเดินชมแบบไม่รีบร้อน แต่ครบถ้วน ประมาณ 4-5 ชม รวมเวลานั่งพักทานอาหาร และ นั่งเรือชมเหมืองเก่าด้วย

พิพิธภัณฑ์ แห่งนี้ต่างจากที่อื่นๆตรงที่เนื้อหาการจัดแสดง เจาะจงสำหรับพื้นที่Black country และ ช่วงเวลา ของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นหลัก   Black country คือพื้นที่ ทางทิศเหนือ และ ตะวันตก ของเบอร์มิงแฮม กินบริเวณส่วนหนึ่งของเขตWest midlands และ Staffordshire ซึ่งเป็นถิ่นที่ มีชื่อเสียงในด้านการทำเหล็กมาตั้งแต่ยุคกลาง แต่ยุคเฟื่องฟูถึงขีดสุดคือยุค วิคทอเรี่ยน 
                               
                          ถนนในหมู่บ้านจำลอง ที่เห็นเป็นบ้านแถวที่ถูกรื้อมาจากที่อื่นเพื่อมาประกอบใหม๋ให้เหมือนเดิม

ในยุคนี้มีการเปลี่ยนจากการใช้ถ่านไม้มาเป็นถ่านหินซึ่งให้ความร้อนสูงขึ้นมาก ปรากฏการณ์นี้เองที่พลิกโฉมหน้า การถลุง และ หล่อเหล็กจากที่ทำได้จำนวนน้อยๆ และนาน มาเป็นทำได้ครั้งละมากๆและประหยัดเวลาลง บริเวณที่เรียกว่าBlack country นี้ถือเป็นถิ่นกำเนิดของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ในช่วงเวลานั้นอุตสาหกรรมเหล็กของที่นี่เป็นที่หนึ่งในประเทศและของโลก ลองนึกภาพ เรือรบทุกลำของสหราชอาณาจักรที่ลอยลำออกไปล่าอาณานิคมทั่วทุกมุมโลก จะต้องใช้โซ่ และสมอที่ทำจาก Black country รวมถึง โซ่และสมอของเรือ ไททานิค ก็ทำที่นี่ 

โซ่ขนาดใหญ่ สำหรับเรือรบ และเรือสำราญ


โรงงานเหล่านี้ขับเคลื่อนไปโดยคนงานตัวเล็กๆไม่มีความสำคัญ แต่กลับสร้างงานอันยิ่งใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งในหลายๆส่วนที่ผลักดัน ประเทศบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก จนเกิดคำพูดว่า พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินในจักรวรรดิอังกฤษ (The sun never sets in the British empire) เพราะจักรวรรดินี้กินพื้นที่ถึง 70%ของโลกเลยทีเดียว
เนื่องจากการอุตสาหกรรมเหล็กที่รุ่งเรืองนี่เองที่นำมาสู่ความเสื่อมโทรมทางสภาพแวดล้อม ควันดำและเขม่าจากโรงงานที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำทำให้บริเวณนี้กลายเป็นสีดำ ซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อ Black country นั่นเอง

เขม่า และ ควันดำจากโรงงานทำให้บริเวณนี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นสีดำ จนเป็นที่มาของชื่อ Black country


Black country ยังเป็นถิ่นกำเนิดเครื่องจักรพลังไอน้ำ ซึ่งเป็นนวตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบในเวลาต่อมา   พิพิธภัณฑ์นี่ยังได้มีเป็นที่เดียวในโลกที่มี เครื่องจักรพลังไอน้ำ Newcomen จำลอง  ขนาดเท่าจริง และใช้ได้จริง เครื่องจักรชนิดนี้ถูกสร้างครั้งแรกขึ้นในปี1712 ซึ่งเครื่องจักรไอน้ำเครื่องแรกของโลก ใช้ในการสูบน้ำออกจากเหมืองเป็นหลัก ถูกใช้อย่างแพร่หลายใน สหราชอาณาจักร และในยุโรป จวบจนสิ้นศตวรรษที่ 18 ต่อมา นาย James Watt ได้ออกแบบ โดยปรับปรุงจาก แบบของ Newcomen ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้เครื่องจักรของนาย Watt โด่งดังมากกว่า  ในเวลาต่อๆมาแนวความคิดเรื่องการใช้พลังไอน้ำได้นำไปสู่การ ออกแบบ เครื่องจักรอื่นๆ เช่น รถไฟ เรือกลไฟ และการผลิตไฟฟ้า เป็นต้น


Photo of Newcomen Engine House in Steam
เครื่องจักรไอน้ำ สร้างใหม่ตามแบบของ Newcomen ซึ่งเป็นเครื่งจักรพลังไอน้ำเครื่องแรกของโลก และเป็นครั้งแรกที่มนุษย์สามารถนำพลังงานไอน้ำมาใช้ประโยชน์ขับเคลื่อนเครื่องจักรได้สำเร็จ

เมื่อมาถึึงพิพิธภัณฑ์ เราจะะพบกับอาคารต้อนรับอยู่ด้านหน้าซึ่งเป็นอาคารสมัยใหม่ มีส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวร ร้านค้าของที่ระรึก ที่มีของดีเด่นประจำท้องถิ่นให้เลือกซื้อตอนขากลับออกมา ให้ซื้อติดมือกลับบ้านกันได้ค่ะ  แต่เมื่อเดินออกจากอาคารอันทันสมัยนี้แล้ว เข้าสู่ส่วนจัดแสดงต่างๆ  จะรู้สึกเหมือนเดินทางผ่าน ไทม์มาชีนสู่ยุค วิคทอเรียน เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เข้าสู่หมู่บ้าน มีสวนสนุกแบบโบราณ เหมืองถ่านหิน ที่เราสามารถลงไปข้างล่างได้เป็นรอบๆ โดยการเดินเท้าลงไปสัมผัสกับบรรยากาศ และเรียนรู้ชีวิตอันแสนยากเข็ญของคนงานเหมืองในช่วงปี 1850

สวนสนุก ความบันเทิงของชาวบ้านเมื่อร้อยกว่าปีก่อน



เด็กยุคนี้กับความสนุกของยุคก่อน
ในเหมืองถ่านหิน ก่อนจะมีการขุดคลองเพื่อการขนส่ง จะใช้ม้าตัวเล็กลากรถรางบันทุกถ่านหิน

            
 เมื่อเดินต่อไปจะพบโรงเรียน ซึ่งจะให้ผู้เข้าชมไปนั่งเรียนได้เป็นรอบๆ เช่นกัน คุณครูผู้เข้มงวด จะทำการตรวจความสะอาด เล็บ และผม ของนักเรียน  ดังนั้นถ้าใครไม่อยากขายหน้าดูแลให้ดีก่อนเข้าโรงเรียนนะคะ เพราะคุณครูที่นี่ครูไหวใจร้ายดีๆนี่เอง    ในห้องเรียนจะมี โต๊ะเรียนจำลองแบบเก่า และ มีเตาผิงเหล็กหล่อ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของยุคนี้ จากนั้นก็จะเป็นการเขียนหนังสือบนกระดานชนวน โดยคุณครูจะมาตรวจด้วยว่าเขียนสวยรึเปล่า
โรงเรียน St James ถูกสร้างขึ้นในปี1842 ปรับปรุงในปี 1912 เปิดสอนมาจนกระทั่งทศวรรษที่ 1980 และถูกร้ื้อมาสร้างใหม่ที่พิพิธภัณฑ์นี้ในปี 1991 สังเกตุคุณครู จะมีไม้เรียวติดมือตลอด



จากนั้นเราก็จะเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งจะมีส่วนที่เป็นร้านค้าต่างๆเช่นร้านของชำ ร้านขายยา ที่จัดแสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนร้านค้าเป็นอย่างนี้และมีอะไรขายบ้าง แต่ก็มีร้านอื่นๆอีกที่เราสามารถเข้าไปอุดหนุนได้จริง เช่นผับ ที่น่าสังเกตคือที่พื้นจะมีฟาง เต็มไปหมด เนื่องจากสมัยก่อนคนชอบ เคี้ยวยาฉุนและบ้วนลงบนพื้น ฟางนี้เอาไว้ซับน้ำบ้วนนั่นเอง , ร้านขาย ฟิช แอนด์ ชิปส์ ที่แสนอร่อย โดยใช้สูตรดั้งเดิม ที่ผสม เอล (เบียร์)ในแป้งชุบทอด และ น้ำมันที่ใช้ทอดเป็นมันวัว (beef dripping) ไม่ได้ใช้น้ำมันพืชแบบที่นิยมในปัจจุบัน ต้องขอย้ำว่าอร่อยมากๆ มาถึงต้องลองนะคะ แต่ไม่ต้องถามหาซอสมะเขือเทศนะคะ ที่นี่สูตรโบราณ โรยเกลือ กับ น้ำส้มสายชูเท่านั้นค่ะ 





ร้านเครื่องมือ และ ฮาร์ดแวร์ สินค้าในยุคนี้เป็นผลผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งต่างจากยุคก่อนที่เป็นของที่ทำด้วยมือทีละชิ้น

ร้านขนมหวาน กับร้านขนมเค้ก ก็เข้าไปซื้อได้ค่ะ ในยุควิคทอเรี่ยนนี่เองที่อังกฤษได้อาณานิคมแถวคาริเบียนซื่งชาวอังกฤษได้เข้าไปจับจองผืนดิน เพื่อการปลูกอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาลโดยแรงงานทาส น้ำตาลในอังกฤษซึ่งเดิมทำจากหัวบีทในประเทศ เปลี่ยนมาใช้น้ำตาลอ้อย จากของหายากมาเป็นของที่หาได้ทั่วไป ลูกอม และ ฟัดจ์แบบต่างๆที่เป็นที่นิยมในปัจจุบันก็มีต้นกำเนิดจากยุคนี้ ส่วนขนมเค้กตัวเอกคือวิคทอเรียแซนด์วิช ซึ่งเป็นเค้กที่ พระราชินีวิคทอเรียทรงโปรดมาก และ เสวยทุกวันกับน้ำชาจึงได้ชื่อนี้มา แต่ที่เรียกว่าแซนด์วิช ก็เพราะเกิดจากการเอาเค้กชิ้นบางๆสองชิ้นมาทาครีม และแยม แล้วเอามาประกบกันเหมือนแซนด์วิชโดยที่ไม่แต่งหน้าเค้กด้วยครีมแค่โรยน้ำตาลเท่านั้น



นอกจากร้านค้าต่างๆแล้วในหมู่บ้านก็ยังมี โรงหนัง โรงหล่อเหล็ก และบ้านช่อง ที่เราสามารถเข้าไปดูได้ บ้านเหล่านี้ภายในมีการจัดเฟอร์นิเจอร์ไว้เหมือนกับว่าเจ้าของบ้านพึ่งจะออกจากบ้านไปเมื่อเช้านี้เพื่อไปทำงาน แล้ว จะกลับมาในไม่ช้า ในบ้านทุกหลังในห้องด้านหน้าจะต้องมีเตาผิงเหล็กหล่อทั้งชิ้น ที่คนในยุคนั้นใช้ต้มน้ำ และ ปรุงอาหารด้วย เวลาอาบน้ำก็จะเอาอ่างอาบน้ำสังกะสีมาวางไว้หน้าเตาผิงเพื่อความอบอุ่น เทน้ำร้อนลงไปใช้อาบทั้งครอบครัว นอกจากนี้บริเวณถนนในหมู่บ้านจะมีของเล่นกลางแจ้งต่างๆของเด็กยุควิคทอเรี่ยน วางไว้ให้เราลองเล่นได้โดยจะมีพนักงานที่แต่งตัวและพูดจาแบบโบราณมาสาธิตการเล่นให้ดู ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดให้มีคนโบราณมาเดินไปเดินมาสร้างบรรยากาศ หรือบางทีก็นั่งอยู่ในบ้านคอยอธิบายนั่นนี่อีกด้วย

เหตุที่ผืนที่ดินแห่งนี้ถูกเลือกเพื่อมาสร้างพิพิธภัณฑ์ ก็เนื่องจากเป็นผืนที่ดินที่มีเหมืองถ่านหินเก่า และมีคลองที่ขุดเชื่อมต่อเข้าไปในเหมืองเพื่อการขนส่ง ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้นั่นเอง 




นอกจากการเดินชมแล้วผู้เข้าชมยังสามารถนั่งเรือเข้าไปในเหมือง อีกด้วย โดยจะต้องซื้อตั๋วต่างหาก เนื่องจากส่วนนี้ จัดการโดยองค์กรเพื่อการบริหารคลองของ ดัดลี่ (Dudly canal trust) ซึ่งเป็นคนละส่วนกับ พิพิธภัณฑ์ ทั้งนี้จะสามารถขึ้นเรือโดยไม่เข้าทางพิพิธภัณฑ์ก็ได้ เพราะมีทางเข้า และที่จอดรถต่างหาก


นั่งเรือเข้าเหมืองถ่านหินเก่า


สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ชมได้ที่
www.bclm.co.uk

การเดินทาง
ทางรถ  
 3 ไมล์จากทางออกที่2ของมอเตอร์เวย์ M5, 7ไมล์ จากทางออกที่10 ของมอเตอร์เวย์ M6
 (ขับตาม ถนน   A454)10 ไมล์จาก เบอร์มิงแฮม ขับตามป้ายสีน้ำตาล ที่จอดรถแบบเก็บเงิน Sat Nav; DY1 4SQ

ทางรถไฟ
สถานี Tipton (1ไมล์) สาย Birmingham-Wolverhamton (ตรวจสอบตารางเวลาที่ 0844 811 0133 หรือ www.londonmidland.com

ทางรถเมล์
ตรวจสอบสายรถเมล์ได้ที่ โทร 0871 200 2233 หรือ www.travelinemidlands.co.uk